แชร์

รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี พร้อมเทคนิคลดหย่อนแบบคุ้มสุด

อัพเดทล่าสุด: 1 ม.ค. 2025

    การเสียภาษีเป็นหน้าที่สำคัญของพลเมืองทุกคน แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี และจะวางแผนภาษีอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะในปี 2567 ที่มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีหลายรายการ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานเรื่องการเสียภาษี วิธีคำนวณ ไปจนถึงเทคนิคการลดหย่อนภาษีแบบคุ้มค่า เพื่อให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างชาญฉลาดและประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมแล้วมาเริ่มทำความเข้าใจไปด้วยกันครับ

เกณฑ์รายได้ที่ต้องเสียภาษี ปี 2567

ใครบ้างที่ต้องเสียภาษี?

    การทำความเข้าใจเรื่อง รายได้ที่ต้องเสียภาษี เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่เริ่มทำงาน ในปี 2567 ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้นี้รวมถึงเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส และผลประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการทำงาน นอกจากนี้ ยังรวมถึงรายได้จากการลงทุน การประกอบธุรกิจ และการให้เช่าทรัพย์สินด้วย ที่สำคัญ แม้ว่าคุณจะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่หากถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ คุณควรยื่นแบบแสดงรายการเพื่อขอคืนภาษีที่ถูกหักไว้เกิน

เงินได้ประเภทต่างๆ ที่ต้องเสียภาษี

    กรมสรรพากรได้แบ่งเงินได้พึงประเมินออกเป็น 8 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีวิธีการคำนวณและหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ดังนี้:

1. เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส (ภ.ง.ด.91): เป็นรายได้จากการจ้างแรงงาน รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับจากนายจ้าง สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

2. รายได้จากการรับจ้างทำของ: เช่น งานฟรีแลนซ์ งานจ้างเหมา สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 60%

3. ค่าลิขสิทธิ์ ดอกเบี้ย เงินปันผล: รวมถึงรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา การลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือเงินฝาก

4. เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน: ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 30%

5. เงินได้จากวิชาชีพอิสระ: เช่น แพทย์ ทนายความ สถาปนิก นักบัญชี สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 30-60% ขึ้นอยู่กับประเภทวิชาชีพ

6. รายได้จากการรับเหมา: งานรับเหมาก่อสร้างต่างๆ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 70%

7. รายได้จากธุรกิจ การพาณิชย์: รวมถึงการค้าขายออนไลน์ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงด้วยหลักฐาน

8. เงินได้จากการจ้างแรงงานอื่นๆ: รายได้ที่ไม่เข้าข่าย 7 ประเภทข้างต้น

ขั้นบันไดภาษีและอัตราภาษี 2567

    อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2567 ใช้ระบบอัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันได ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีรายได้สูง ก็จะเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น แต่เฉพาะส่วนที่เกินเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • 0-150,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
  • 150,001-300,000 บาท: เสียภาษี 5% หรือสูงสุด 7,500 บาท
  • 300,001-500,000 บาท: เสียภาษี 10% หรือสูงสุด 20,000 บาท
  • 500,001-750,000 บาท: เสียภาษี 15% หรือสูงสุด 37,500 บาท
  • 750,001-1,000,000 บาท: เสียภาษี 20% หรือสูงสุด 50,000 บาท
  • 1,000,001-2,000,000 บาท: เสียภาษี 25% หรือสูงสุด 250,000 บาท
  • 2,000,001-5,000,000 บาท: เสียภาษี 30% หรือสูงสุด 900,000 บาท
  • 5,000,001 บาทขึ้นไป: เสียภาษี 35%

ตารางขั้นบันไดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2567 แสดงเกณฑ์รายได้และอัตราภาษีแต่ละขั้น

วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

การคำนวณเงินได้พึงประเมิน

    การคำนวณภาษี เริ่มจากการนำรายได้ทั้งปีมารวมกัน โดยแยกตามประเภทเงินได้ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนที่เหมาะสม สำหรับผู้มีเงินเดือนประจำ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือจะเลือกหักตามจริงโดยมีหลักฐานก็ได้ หลังจากนั้นจึงนำไปหักค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อคำนวณภาษีตามขั้นบันได

ค่าใช้จ่ายที่หักได้ตามกฎหมาย

    กฎหมายอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามประเภทของเงินได้ ดังนี้:

  • เงินเดือนและค่าจ้าง: หักได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์: หักได้ 30%
  • ค่าลิขสิทธิ์: หักได้ 50%
  • วิชาชีพอิสระ: หักได้ 30-60% ขึ้นอยู่กับประเภท
  • ธุรกิจ: หักตามจริงด้วยหลักฐาน หรือเลือกหักแบบเหมา

รายการลดหย่อนภาษียอดนิยม ปี 2567

ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ

     การทำประกันถือเป็นหนึ่งในวิธี ลดหย่อนภาษี ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะได้ความคุ้มครองแล้ว ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย โดยมีเงื่อนไขดังนี้:

  • ประกันชีวิต: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
  • ประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท สำหรับกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองการรักษาพยาบาล
  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ: ลดหย่อนได้พิเศษถึง 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ กบข. แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

กองทุน RMF และ SSF

    การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เป็นอีกทางเลือกยอดนิยมในการลดหย่อนภาษี โดยมีรายละเอียดดังนี้:

RMF:

  • ลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
  • ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • ต้องถือหน่วยลงทุนจนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

SSF:

  • ลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 10 ปี
  • สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายนโยบายตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เงินบริจาคและการศึกษา

    การบริจาคและการสนับสนุนการศึกษาก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้:

  • บริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ
  • บริจาคผ่าน e-Donation: ได้สิทธิลดหย่อน 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค
  • สนับสนุนการศึกษา: ลดหย่อนได้ 2 เท่า สำหรับการบริจาคให้สถานศึกษาที่ได้รับการรับรอง

เทคนิคการวางแผนภาษีแบบคุ้มค่า

การวางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า

การวางแผนลดหย่อนภาษี ที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีภาษี โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. ประเมินรายได้ทั้งปีและภาษีที่คาดว่าต้องจ่าย
  2. วางแผนการลงทุนในกองทุนต่างๆ โดยกระจายการลงทุนเป็นรายเดือน
  3. พิจารณาทำประกันที่ให้ทั้งความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
  4. เตรียมเอกสารและหลักฐานการลดหย่อนให้พร้อม

ข้อควรระวังในการใช้สิทธิลดหย่อน

  1. ตรวจสอบคุณสมบัติของรายการลดหย่อนให้ตรงตามเงื่อนไข
  2. เก็บเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
  3. ระวังการลงทุนเกินสิทธิที่ได้รับ
  4. ศึกษาเงื่อนไขการถือครองการลงทุนให้ดี

ขั้นตอนการยื่นภาษีผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากร พร้อมเอกสารที่ต้องเตรียม

การยื่นภาษีและการเตรียมเอกสาร

การเตรียมเอกสารสำหรับยื่นภาษี

เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมมีดังนี้:

  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
  • หลักฐานการลดหย่อนภาษีทุกประเภท
  • สำเนาบัตรประชาชน
  • เอกสารการลงทุนในกองทุนต่างๆ
  • ใบเสร็จรับเงินค่าประกันชีวิตและสุขภาพ
  • หลักฐานการบริจาค

กำหนดการสำคัญ

  • มกราคม-มีนาคม: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91
  • กรกฎาคม: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับครึ่งปีแรก
  • มกราคม (ปีถัดไป): ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับครึ่งปีหลัง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี ถ้ามีรายได้หลายทาง?
A: ต้องนำรายได้ทุกประเภทมารวมกัน หากเกิน 150,000 บาทต่อปี ต้องยื่นภาษี โดยแยกคำนวณค่าใช้จ่ายตามประเภทเงินได้

Q: เริ่มทำงานกลางปี ต้องยื่นภาษีหรือไม่?
A: หากมีรายได้รวมเกิน 150,000 บาท ในช่วงที่ทำงาน ต้องยื่นภาษี แต่จะคำนวณเฉพาะรายได้ที่ได้รับจริง

Q: ลงทุนในกองทุน RMF/SSF แล้วขายก่อนกำหนด จะเป็นอย่างไร?
A: ต้องนำเงินลดหย่อนภาษีที่ใช้สิทธิไปแล้วมายื่นเพิ่มเติม พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

    การเข้าใจเรื่องรายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี และการวางแผนภาษีอย่างรอบคอบเป็นทักษะสำคัญสำหรับทุกคนที่มีรายได้ การเลือกใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทำประกัน การลงทุนในกองทุน หรือการบริจาค จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนล่วงหน้า เก็บเอกสารให้ครบถ้วน และศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ให้เข้าใจ เพื่อให้การยื่นภาษีเป็นเรื่องง่ายและได้ประโยชน์สูงสุด

    ท้ายที่สุดนี้ หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนภาษี สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามกฎหมาย การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตมากขึ้น





บทความที่เกี่ยวข้อง
วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2567 ช่วงต้นปี 2568 ทำตามงง่าย มือใหม่ก็ทำได้
วิธียื่นภาษีออนไลน์ 2568 ง่าย ๆ มือใหม่ก็ทำได้ เตรียมเอกสารครบ ทำตามขั้นตอนที่แนะนำ ยื่นทันกำหนด ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษี!
3 ม.ค. 2025
ปฏิทินภาษี 2568 ยื่นตรงทุกกำหนดสำคัญ
ปฏิทินภาษี 2568 รวมกำหนดการยื่นภาษีสำคัญ ครบทุกแบบฟอร์ม พร้อมคำแนะนำการยื่นที่ถูกต้อง ตรงเวลา ไม่พลาดทุกเดดไลน์ ปฏิทินภาษีที่ต้องรู้!
3 ม.ค. 2025
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: ใครต้องเสีย? อัตราเท่าไหร่?
เข้าใจภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างง่ายดาย! บทความนี้ไขข้อสงสัย ใครต้องเสียภาษี? อัตราภาษีเท่าไหร่? พร้อมข้อมูลภาษีที่ดินว่างเปล่า อัปเดตปี 2567
1 ม.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy