รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี พร้อมเทคนิคลดหย่อนแบบคุ้มสุด
การเสียภาษีเป็นหน้าที่สำคัญของพลเมืองทุกคน แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี และจะวางแผนภาษีอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะในปี 2567 ที่มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีหลายรายการ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานเรื่องการเสียภาษี วิธีคำนวณ ไปจนถึงเทคนิคการลดหย่อนภาษีแบบคุ้มค่า เพื่อให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างชาญฉลาดและประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมแล้วมาเริ่มทำความเข้าใจไปด้วยกันครับ
เกณฑ์รายได้ที่ต้องเสียภาษี ปี 2567
ใครบ้างที่ต้องเสียภาษี?
การทำความเข้าใจเรื่อง รายได้ที่ต้องเสียภาษี เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่เริ่มทำงาน ในปี 2567 ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้นี้รวมถึงเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส และผลประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการทำงาน นอกจากนี้ ยังรวมถึงรายได้จากการลงทุน การประกอบธุรกิจ และการให้เช่าทรัพย์สินด้วย ที่สำคัญ แม้ว่าคุณจะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี แต่หากถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ คุณควรยื่นแบบแสดงรายการเพื่อขอคืนภาษีที่ถูกหักไว้เกิน
เงินได้ประเภทต่างๆ ที่ต้องเสียภาษี
กรมสรรพากรได้แบ่งเงินได้พึงประเมินออกเป็น 8 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีวิธีการคำนวณและหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส (ภ.ง.ด.91): เป็นรายได้จากการจ้างแรงงาน รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับจากนายจ้าง สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
2. รายได้จากการรับจ้างทำของ: เช่น งานฟรีแลนซ์ งานจ้างเหมา สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 60%
3. ค่าลิขสิทธิ์ ดอกเบี้ย เงินปันผล: รวมถึงรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา การลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือเงินฝาก
4. เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน: ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 30%
5. เงินได้จากวิชาชีพอิสระ: เช่น แพทย์ ทนายความ สถาปนิก นักบัญชี สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 30-60% ขึ้นอยู่กับประเภทวิชาชีพ
6. รายได้จากการรับเหมา: งานรับเหมาก่อสร้างต่างๆ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือเหมาจ่าย 70%
7. รายได้จากธุรกิจ การพาณิชย์: รวมถึงการค้าขายออนไลน์ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงด้วยหลักฐาน
8. เงินได้จากการจ้างแรงงานอื่นๆ: รายได้ที่ไม่เข้าข่าย 7 ประเภทข้างต้น
ขั้นบันไดภาษีและอัตราภาษี 2567
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2567 ใช้ระบบอัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันได ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีรายได้สูง ก็จะเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น แต่เฉพาะส่วนที่เกินเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- 0-150,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
- 150,001-300,000 บาท: เสียภาษี 5% หรือสูงสุด 7,500 บาท
- 300,001-500,000 บาท: เสียภาษี 10% หรือสูงสุด 20,000 บาท
- 500,001-750,000 บาท: เสียภาษี 15% หรือสูงสุด 37,500 บาท
- 750,001-1,000,000 บาท: เสียภาษี 20% หรือสูงสุด 50,000 บาท
- 1,000,001-2,000,000 บาท: เสียภาษี 25% หรือสูงสุด 250,000 บาท
- 2,000,001-5,000,000 บาท: เสียภาษี 30% หรือสูงสุด 900,000 บาท
- 5,000,001 บาทขึ้นไป: เสียภาษี 35%
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การคำนวณเงินได้พึงประเมิน
การคำนวณภาษี เริ่มจากการนำรายได้ทั้งปีมารวมกัน โดยแยกตามประเภทเงินได้ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนที่เหมาะสม สำหรับผู้มีเงินเดือนประจำ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือจะเลือกหักตามจริงโดยมีหลักฐานก็ได้ หลังจากนั้นจึงนำไปหักค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อคำนวณภาษีตามขั้นบันได
ค่าใช้จ่ายที่หักได้ตามกฎหมาย
กฎหมายอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามประเภทของเงินได้ ดังนี้:
- เงินเดือนและค่าจ้าง: หักได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์: หักได้ 30%
- ค่าลิขสิทธิ์: หักได้ 50%
- วิชาชีพอิสระ: หักได้ 30-60% ขึ้นอยู่กับประเภท
- ธุรกิจ: หักตามจริงด้วยหลักฐาน หรือเลือกหักแบบเหมา
รายการลดหย่อนภาษียอดนิยม ปี 2567
ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
การทำประกันถือเป็นหนึ่งในวิธี ลดหย่อนภาษี ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะได้ความคุ้มครองแล้ว ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย โดยมีเงื่อนไขดังนี้:
- ประกันชีวิต: ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
- ประกันสุขภาพ: ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท สำหรับกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองการรักษาพยาบาล
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ: ลดหย่อนได้พิเศษถึง 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ กบข. แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
กองทุน RMF และ SSF
การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เป็นอีกทางเลือกยอดนิยมในการลดหย่อนภาษี โดยมีรายละเอียดดังนี้:
RMF:
- ลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ต้องถือหน่วยลงทุนจนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
SSF:
- ลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
- ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 10 ปี
- สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายนโยบายตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เงินบริจาคและการศึกษา
การบริจาคและการสนับสนุนการศึกษาก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้:
- บริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ
- บริจาคผ่าน e-Donation: ได้สิทธิลดหย่อน 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค
- สนับสนุนการศึกษา: ลดหย่อนได้ 2 เท่า สำหรับการบริจาคให้สถานศึกษาที่ได้รับการรับรอง
เทคนิคการวางแผนภาษีแบบคุ้มค่า
การวางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า
การวางแผนลดหย่อนภาษี ที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีภาษี โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- ประเมินรายได้ทั้งปีและภาษีที่คาดว่าต้องจ่าย
- วางแผนการลงทุนในกองทุนต่างๆ โดยกระจายการลงทุนเป็นรายเดือน
- พิจารณาทำประกันที่ให้ทั้งความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- เตรียมเอกสารและหลักฐานการลดหย่อนให้พร้อม
ข้อควรระวังในการใช้สิทธิลดหย่อน
- ตรวจสอบคุณสมบัติของรายการลดหย่อนให้ตรงตามเงื่อนไข
- เก็บเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
- ระวังการลงทุนเกินสิทธิที่ได้รับ
- ศึกษาเงื่อนไขการถือครองการลงทุนให้ดี
การยื่นภาษีและการเตรียมเอกสาร
การเตรียมเอกสารสำหรับยื่นภาษี
เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมมีดังนี้:
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
- หลักฐานการลดหย่อนภาษีทุกประเภท
- สำเนาบัตรประชาชน
- เอกสารการลงทุนในกองทุนต่างๆ
- ใบเสร็จรับเงินค่าประกันชีวิตและสุขภาพ
- หลักฐานการบริจาค
กำหนดการสำคัญ
- มกราคม-มีนาคม: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91
- กรกฎาคม: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับครึ่งปีแรก
- มกราคม (ปีถัดไป): ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สำหรับครึ่งปีหลัง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี ถ้ามีรายได้หลายทาง?
A: ต้องนำรายได้ทุกประเภทมารวมกัน หากเกิน 150,000 บาทต่อปี ต้องยื่นภาษี โดยแยกคำนวณค่าใช้จ่ายตามประเภทเงินได้
Q: เริ่มทำงานกลางปี ต้องยื่นภาษีหรือไม่?
A: หากมีรายได้รวมเกิน 150,000 บาท ในช่วงที่ทำงาน ต้องยื่นภาษี แต่จะคำนวณเฉพาะรายได้ที่ได้รับจริง
Q: ลงทุนในกองทุน RMF/SSF แล้วขายก่อนกำหนด จะเป็นอย่างไร?
A: ต้องนำเงินลดหย่อนภาษีที่ใช้สิทธิไปแล้วมายื่นเพิ่มเติม พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
การเข้าใจเรื่องรายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี และการวางแผนภาษีอย่างรอบคอบเป็นทักษะสำคัญสำหรับทุกคนที่มีรายได้ การเลือกใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทำประกัน การลงทุนในกองทุน หรือการบริจาค จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนล่วงหน้า เก็บเอกสารให้ครบถ้วน และศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ให้เข้าใจ เพื่อให้การยื่นภาษีเป็นเรื่องง่ายและได้ประโยชน์สูงสุด
ท้ายที่สุดนี้ หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนภาษี สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามกฎหมาย การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตมากขึ้น